ข่าวเกี่ยวกับกฎหมายการศึกษา
สุดทน!
แม่แจ้งความเอาผิดครูโรงเรียนดัง ทำร้ายลูกสาววัย 3 ขวบ
ผู้ปกครองแจ้งความเอาผิดครูโรงเรียนดังพัทยา ก่อนโพสต์เฟซบุ๊ก หลังลูกวัย 3 ขวบ โดนทำร้าย
แถมจับขังห้องน้ำ จนเด็กเกิดความหวาดกลัว พร้อมขอเปิดกล้องวงจรปิดเพื่อดูเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ตร.พัทยา เตรียมติดต่อสอบปากคำ
จากกรณีมีเฟซบุ๊กชื่อ
"Nipa Aum" ลงภาพเด็กวัย
3 ขวบ มีร่องรอยเขียวช้ำบริเวณต้นแขนซ้าย
และภาพการเข้าแจ้งความเอาผิดกับ สภ.เมืองพัทยา ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อไปยังเจ้าของเฟซดังกล่าว
คือ น.ส.นิด (นามสมมติ) อายุ 27 ปี ชาวต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่บอกว่า
เรื่องดังกล่าวเกิดจากโดนครูโรงเรียนในเมืองพัทยา กระทำจนเป็นรอยเขียวซ้ำ
แต่เมื่อผู้ปกครองเข้าไปสอบถามกลับถูกปฏิเสธไม่รู้สาเหตุ ก่อนครูที่ดูแลลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
แต่ไม่บอกถึงสาเหตุ
น.ส.นิด (นามสมมติ) เป็นผู้ปกครอง
ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 3 ขวบ
เล่าเหตุการณ์ว่า ช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ย.59 ได้ให้ญาติไปรับด.ญ.เอ กลับจากโรงเรียนซึ่งพบว่า
บริเวณต้นแขนซ้ายมีอาการเขียวช้ำ จึงได้โทรศัพท์สอบถามครูว่าน้องเป็นอะไร
ซึ่งตอนแรกตนเองแค่คิดว่าเด็กคงเล่นกับเพื่อนแล้วล้มลงกับพื้น
แต่กับได้รับคำตอบว่าไม่รู้ และครูอ้างเพียงคงเล่นกับเพื่อนแล้วล้ม
ตนจึงพยายามไปติดต่อขอดูภาพกล้องวงจรปิดแต่ได้รับการปฏิเสธ
จึงเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรสจ สภ.เมืองพัทยา
เพื่อต้องการทราบสาเหตุ และต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ดูรอยบาดแผลน่าจะเกิดจากการถูกตี
และพยายามพูดคุยกับ ด.ญ.เอ จนได้คำตอบว่าถูกพี่ปูตี
ซึ่งในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจถามว่าจะให้ลงบันทึกตามคำบอกเล่าของ ด.ญ.เอ
เลยหรือไม่ น.ส.นิด จึงบอกยังก่อน เพราะอยากดูภาพจากกล้องวงจรปิดเสียก่อน
ถ้าพบว่าเป็นจริงก็จะกลับมาแจ้งความเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดี
จากนั้นได้พา ด.ญ.เอ ไปโรงเรียน
แต่น้องกลับแสดงอาการหวาดกลัวไม่ยอมไปโรงเรียน และได้พบกับ น.ส.ปู (นามสมมติ)
หัวหน้าครูชั้นเตรียมอนุบาล ซึ่งได้บ่นว่าจะมาทำไม มาเป็นภาระให้กับคนอื่น
พอทางโรงเรียนทราบว่า
ทางตนเข้าแจ้งความก็ยอมให้ดูภาพวงจรปิด แต่ในภาพเหมือนมีการตัดบางช่วงออก
และไม่ตรงกับคำบอกเล่าของครูคนอื่น แต่ตนเองไม่สามารถเปิดเผยได้
กระทั่งตนพยายามเข้าไปติดต่อสอบถามที่โรงเรียนหลายครั้งหลัง และได้ย้าย ด.ญ.เอ
ไปเรียนที่อื่น เพื่อให้ ด.ญ.เอ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
และทราบว่าครูปูได้ลาออกจากโรงเรียน และยอมรับว่าเป็นคนทำน้อง
แต่เป็นเพียงแค่ดึงตุ๊กตาหมีเก่าๆ ที่น้องติดเท่านั้น
นอกจากนั้นพฤติกรรมที่น้องเปลี่ยนไปอีกอย่าง
คือไม่ยอมเข้าห้องน้ำอาบน้ำหรือภารกิจอย่างอื่นๆ จะอาบน้ำบริเวณหน้าบ้าน ต่อมาจึงทราบสาเหตุว่า ด.ญ.เอ
ถูกครูจับขังในห้องน้ำเพราะน้องร้องไห้ไม่หยุด
จากการที่ น.ส.นิด
เข้าแจ้งความนั้น เพื่อต้องการทราบเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ ด.ญ.เอ ว่าเป็นอย่างไร
และบาดแผลเกิดจากอะไร ซึ่งน้องนั้นมีปัญหาตั้งแต่ตอนเกิดก่อนกำหนด 7 เดือน การพัฒนาก็ช้าว่าเด็กคนอื่น
และยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีกตนเองจึงยอมไม่ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นัด น.ส.ปู
และ ด.ญ.เอ เข้าให้รายละเอียดปากคำอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 14 พ.ย.59 ที่
สภ.เมืองพัทยาอีกครั้ง ส่วนด้านทางโรงเรียน
ทางผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อผู้อำนวยการโรงเรียน
เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าวแต่ไม่มีผู้รับสาย
จากการที่ข้าพเจ้าได้อ่านข่าว
สุดทน! แม่แจ้งความเอาผิดครูโรงเรียนดัง ทำร้ายลูกสาววัย 3 ขวบ
รู้สึกเศร้า
เสียใจเป็นอย่างมาก
และมีความรู้สึกว่าทำไมคนเป็นครูจึงไม่มีความใจเย็นและมีสติในการกระทำสิ่งใด
เพราะคำว่า “ครู” คือบุคคลที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี
เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ดั่งมีผู้คนมากมายเปรียบครูไว้มากมายเช่นกัน เช่น
ครูเป็นดั่งแม่พิมพ์ของชาติ เปรียบเสมือนพระในบ้าน ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง
ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นครูจะต้องเป็นคนดี คนที่มีจิตใจดี
เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคน แต่เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว
ความเป็นครูที่ครูปูมีนั้นหมดไป
ด้วยพฤติกรรมที่ครูปูทำร้ายร่างกายและขังนักเรียนวัย 3 ขวบไว้ในห้องน้ำ
การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่งและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
มีความผิดทั้งทางวินัยข้าราชการ
ผิดจรรยาบรรณในวิชาชีพครู
และยังเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาในข้อหาทำร้ายร่างกายและจิตใจผู้อื่นด้วย
ในฐานะที่ดิฉันเรียนครู
คณะครุศาสตร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ และกำลังจะไปเป็นครูในอนาคต ดิฉันคิดว่าการไปประกอบอาชีพครูนอกจากจะมีความรู้แล้วจะต้องมีคุณธรรมควบคู่ไปด้วยเช่นกัน
คุณธรรมในที่นี้คือ ครูจะต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา คือ
ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข
มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า กรุณา คือ
ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ มุทิตา คือ
ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง อุเบกขา คือ
ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา
และนอกจากนี้แล้ว ครูจะต้องมีสติและใจเย็น
สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี
มีเหตุผลที่ดีและรู้จักแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างความถูกต้อง
ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นต้องเดือดร้อน ถ้าดิฉันเป็นครูปู ดิฉันจะไม่ทำแบบนั้น
แต่ดิฉันจะพูดจาดีๆ เอาใจใส่นักเรียนคนนั้นให้มากกว่านี้
ต้องยอมรับว่านักเรียนคนนี้ไม่เหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ
คือมีพัฒนาการในการเรียนรู้ช้ากว่านักเรียนคนอื่น
เราไม่ต้องเอาเกณฑ์ของนักเรียนคนอื่นมาใช้กับนักเรียนคนนี้
แต่จะต้องค่อยสอนและให้เขาเรียนรู้อย่างช้าๆแต่เกิดความเปลี่ยนแปลง และถ้าเขาไม่เชื่อฟังหรือดื้อ
ก็ควรใจเย็น มีสติและพูดจาดีๆ ไม่ควรลงมือทำร้ายร่างงกาย ซึ่งถ้าครูเข้าใจธรรมชาติของนักเรียนแต่ละคนและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
ปัญหาแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
สาธุครับ 5555555
ตอบลบ